เราได้รับการฝึกอบรมทั้งทางตรงและทางอ้อมเรื่องการดูสุขภาพเบื้องต้นตั้งแต่เด็ก ทั้งในโรงเรียนและเห็นการปฏิบัติของผู้ใหญ่ มีแผลให้ล้างแผลทายาแล้วปิดแผล ปวดหัวตัวร้อนก็กินยาเช็ดตัว หรือควรรู้ว่าเมื่อไหร่ต้องไปหาหมอ ทักษะเหล่านี้เป็นเรื่องสามัญประจำบ้านที่ทุกคนมีร่วมกัน เช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆ เช่น กฎจราจร ,กฎหมายขั้นพื้นฐานฯ เพื่อให้เราใช้ดำเนินกิจวัตรได้อย่างปลอดภัย และปกติสุข
แต่สำหรับโลกดิจิทัลที่ภัยออนไลน์สามารถเข้าถึงตัวได้ทุกเมื่อ เรามีชุดความรู้สามัญประจำตัว ประจำบ้านแล้วหรือยัง? วันนี้เราจะมาดูแนวคิด “การจัดการข้อมูลส่วนตัว” ซึ่งเป็นหนึ่งในเรื่องพื้นฐานบนโลกดิจิทัลกันครับ
เรียนรู้เกี่ยวกับทักษะพลเมืองดิจิทัลที่น่าสนใจคลิก Digital Citizenship ทักษะพลเมืองดิจิทัล
ข้อมูลส่วนตัว คืออะไร?
ข้อมูลส่วนตัว หมายถึง ข้อมูลใดๆ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม
ตัวอย่างเช่น
- ชื่อ นามสกุล
- เลขประจำตัวประชาชน
- ที่อยู่
- เบอร์โทรศัพท์
- อีเมล
- รูปถ่าย
- ข้อมูลการเงิน
- ข้อมูลสุขภาพ
- ข้อมูลทางชีวภาพ
- ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคล
ความสำคัญของการจัดการข้อมูลส่วนตัว
ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในชีวิต ข้อมูลส่วนตัวกลายเป็นสิ่งที่มีค่าและมีความสำคัญต่อชีวิตของเราอย่างมาก ข้อมูลเหล่านี้ถูกเก็บรวบรวมและนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย การจัดการข้อมูลส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพ หมายถึง การควบคุมข้อมูลส่วนตัวของเราเอง ตัดสินใจว่าข้อมูลใดที่เราต้องการแชร์ ข้อมูลใดที่เราต้องการเก็บไว้เป็นส่วนตัว
- ปกป้องความเป็นส่วนตัว: ข้อมูลส่วนตัวของเราอาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การถูกแอบอ้าง การถูกติดตาม การถูกเลือกปฏิบัติ การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยให้เราควบคุมข้อมูลของเราเอง ป้องกันไม่ให้ข้อมูลถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
- ป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์: ข้อมูลส่วนตัวของเราอาจถูกขโมย นำไปใช้เพื่อหลอกลวง หรือใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์
- สร้างความมั่นใจ: การจัดการข้อมูลส่วนตัวอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้เรารู้สึกมั่นใจ ปลอดภัย ในการใช้ชีวิตบนโลกออนไลน์
- ส่งเสริมเสรีภาพ: การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยให้เราควบคุมข้อมูลของเราเอง ตัดสินใจว่าข้อมูลใดที่เราต้องการแชร์ ข้อมูลใดที่เราต้องการเก็บไว้เป็นส่วนตัว ส่งเสริมเสรีภาพในการแสดงออกและการมีส่วนร่วมบนโลกออนไลน์
ตัวอย่างสถานการณ์ที่แสดงถึงความสำคัญของการจัดการข้อมูลส่วนตัว
- การสมัครงาน: บริษัทอาจเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยให้เราควบคุมข้อมูลของเรา ตัดสินใจว่าข้อมูลใดที่เราต้องการให้บริษัททราบ
- การใช้บริการธนาคาร: ธนาคารเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น เลขบัญชี ข้อมูลการเงิน การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยให้เราควบคุมข้อมูลของเรา ป้องกันการถูกโจรกรรมข้อมูล
- การใช้บริการทางการแพทย์: โรงพยาบาลเก็บข้อมูลส่วนตัวของเรา เช่น ประวัติการรักษา ข้อมูลสุขภาพ การจัดการข้อมูลส่วนตัวช่วยให้เราควบคุมข้อมูลของเรา ป้องกันการถูกเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว
ฝากข้อมูลไว้กับใครบ้าง
ทุกวันนี้ไม่ว่าจะเด็กวัยเพิ่งเข้าโรงเรียนหรือผู้สูงอายุ หนึ่งคนจะมีอย่างน้อย 1 บัญชีออนไลน์ และการสมัครใช้บัญชีออนไลน์นั้นจำต้องใช้ข้อมูลส่วนตัวเพื่อ “แลก” กับการใช้บริการฟรีของระบบ ฉะนั้นยิ่งมีบัญชีออนไลน์มากก็หมายถึงต้องให้ข้อมูลกับเจ้าของระบบมากขึ้นด้วย
หากมีบัญชีไม่มากก็อาจจะบริหารจัดการได้ แต่หากมีบัญชีจำนวนมากเช่น โซเชียลมีเดียเฟซบุ๊ค, อินสตราแกรม, ไลน์, ติ๊กต็อก หรือบัญชีใช้งานเว็บไซต์ต่าง ๆ ไปจนถึงบัญชีธุรกรรมทางการเงินฯลฯ ซึ่งข้อมูลที่ให้ไปเปรียบได้กับการ “ฝาก” เอาไว้นั้นเราอาจหลงลืมรหัส หรือในกรณีที่ผิดพลาดคือข้อมูลรั่วไหลจากการโพสต์ของเราเอง หรือจากมิจฉาชีพก็ตามที เราควรรู้ว่าเราฝากข้อมูลส่วนตัวของเราไว้กับใครบ้าง
ตัวอย่างเช่นหากมีกรณีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์รั่วไหลแล้วเราได้รับผลกระทบจากมิจฉาชีพ การจะตามรอยนั้นควรเริ่มจากว่าเราฝากข้อมูลไว้กับใคร หรือในทางกลับกันหากมีการส่งข้อมูลมาให้เรา เราควรแน่ใจว่าเราได้ทำธุรกรรมกับบริษัทดังกล่าวหรือไม่ หากเราไม่ทราบว่าเราให้ข้อมูลใครไปบ้าง การตามรอยหรือการป้องกันตัวของเราจะหละหลวม ง่ายต่อการถูกหลอกให้เชื่อว่าเรา “สมัครบริการ” ทั้งๆที่ความจริงเราอาจกำลังถูกหลอกจากการนำข้อมูลที่รั่วไหลมาอ้างอิงกับเรา
การตรวจว่าเราให้ข้อมูลไปกับใครบ้างเริ่มต้นง่ายๆ เพียงการเปิดโทรศัพท์แล้วดูว่ามีแอปพลิเคชันไหนบ้างที่เราต้องให้ข้อมูลเพื่อสมัครใช้งาน รวมถึงเพื่อนในแอปพลิเคชันไลน์หรือเฟซบุ๊คที่เรากดติดตาม เพื่อเป็นการประเมินว่าหากวันหนึ่งได้รับข้อความแปลกๆ เราจะรู้ได้ทันทีว่าเราเคยสมัครหรือไม่
จัดการข้อมูลส่วนตัว
เทคนิคการจัดการข้อมูลส่วนตัวขึ้นกับวิถีชีวิตของแต่ละคน ตามบริบทของแต่ละครอบครัว อย่างไรก็ตามแนวทางแนะนำก็ยังสามารถปรับใช้ได้เพื่อความปลอดภัย ตัวอย่างเช่น
- ตั้งรหัสให้ปลอดภัย และเปลี่ยนรหัสทุก2-3 เดือน
- ตั้งค่าข้อมูลส่วนตัวแบบปิด
- ตั้งสติก่อนโพสต์ ตรวจสอบว่าเปิดเผยข้อมูลมากเกินไปหรือไม่
- เมื่อสมัครบริการ ตรวจสอบเงื่อนไขการใช้ข้อมูลให้ดีก่อนกดยอมรับ
- ตรวจสอบ “ชื่อ-นามสกุล” ของตนเองในอินเทอร์เน็ตว่ามีการแอบอ้างนำข้อมูลเราไปใช้หรือไม่
- ตั้งสติเมื่อต้องให้-รับข้อมูลกับใคร
ทักษะเหล่านี้ควรเป็นพื้นฐานของการเข้าใช้งานโลกดิจิทัลเช่นเดียวกับกฎจราจรเมื่อเราต้องเดินทาง หรืออาจจะต้องระมัดระวังมากกว่าเพราะโลกดิจิทัลจับจ้องและเก็บบันทึกทุกการกระทำของเราทุกอย่าง แม้เพียงคลิกเดียว นิ้วสัมผัสหนึ่งครั้งก็ถือเป็นข้อมูลบนโลกดิจิทัล
ชวนเท่าทันสื่อกันทั้งบ้าน
ทักษะพื้นฐานใหม่ที่กำลังส่งเสริมให้มีมากขึ้นคือการเท่าทันสื่อ เพราะทุกวันนี้ทุกคนสามารถเป็นผู้สร้างสื่อได้ ไม่มีใครตรวจสอบหรือคัดกรอง ทุกเนื้อหาที่ไหลทะลักอยู่บนโลกออนไลน์ในทุกวินาทีนั้นมีเนื้อหาทุกรูปแบบ ตั้งแต่ความสนุกเล็กน้อยไปจนถึงการระบายอารมณ์ ตั้งแต่การสร้างอารมณ์ขันไปจนถึงการตั้งใจหลอกลวง และอาจเป็นการสร้างความเข้าใจผิดในคนหมู่มากของสังคม การเสพสื่อจึงต้องคิดหรือตั้งสติ ตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนที่จะเลือกเชื่ออะไร
ประเด็นที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นเพียงภาพรวมของทักษะการใช้ชีวิตบนโลกดิจิทัลที่มีความจำเป็นมากขึ้นทุกวัน ยิ่งเทคโนโลยีมีบทบาทเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมากขึ้น การเตรียมความพร้อมไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ วัยรุ่น วัยทำงาน หรือวัยสูงอายุควรมีติดตัวไว้สร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเอง ไปจนถึงการปฐมพยาบาลเมื่อเกิดปัญหาบนโลกดิจิทัลได้
ทักษะพลเมืองดิจิทัลที่น่าสนใจคลิก
ติดตามบทความน่าสนใจเพิ่มเติมคลิก: https://www.think-digital.app/