ครีเอทได้ไม่ติดขัด ถ้ารู้จักกับ Creative Commons

ในโลกดิจิทัลที่เชื่อมต่อกันอย่างกว้างขวางและรวดเร็วในปัจจุบัน การเข้าถึงทรัพยากรทางดิจิทัลกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการพัฒนาทักษะและการเรียนรู้สำหรับคนรุ่นใหม่ ความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล เนื้อหา และทรัพยากรต่าง ๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลิขสิทธิ์ เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมในยุคดิจิทัล หนึ่งในเครื่องมือที่สำคัญที่สามารถช่วยให้คนรุ่นใหม่พัฒนาทักษะทางดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ “Creative Commons”


Creative Commons คืออะไร?

Creative Commons (CC) เป็นระบบใบอนุญาตที่อนุญาตให้ผู้สร้างสรรค์งานสามารถแบ่งปันผลงานของตนกับผู้อื่นได้อย่างเสรี ในขณะเดียวกันก็สามารถคงสิทธิ์ที่ต้องการปกป้องไว้ได้ CC มีหลายประเภทของใบอนุญาตที่ผู้สร้างสรรค์สามารถเลือกใช้ตามความต้องการ ตั้งแต่การอนุญาตให้ใช้ผลงานได้โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ไปจนถึงการกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การให้เครดิตผู้สร้างสรรค์ การอนุญาตให้ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ที่ไม่ใช่การค้า หรือการอนุญาตให้ดัดแปลงผลงานได้

creative common logo

แนวคิดหลักของ Creative Commons

คือการสร้างสภาพแวดล้อมทางกฎหมายให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถอนุญาตให้ผู้อื่นนำผลงานของตนไปใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องสละลิขสิทธิ์ทั้งหมด ผ่านการออกใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ หรือเงื่อนไขการใช้งานแบบเปิดกว้าง

สิ่งสำคัญคือ ครีเอทีฟคอมมอนส์ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อทำลายหรือแทนที่ระบบลิขสิทธิ์แบบเดิม แต่เป็นการสร้างตัวเลือกใหม่เพิ่มขึ้นมาให้กับผู้สร้างสรรค์ผลงาน โดยเจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเลือกที่จะเปิดกว้างหรือเข้มงวดในการควบคุมการใช้งานผลงานของตนเองตามที่ต้องการ

หลักการสำคัญของ Creative Commons

Creative Commons ถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของหลักการที่สำคัญหลายประการ ซึ่งเป็นการให้ผู้สร้างสรรค์มีทางเลือกในการแบ่งปันผลงานของตนในลักษณะที่มีความยืดหยุ่น หลักการสำคัญของ Creative Commons มีดังนี้:

  1. การเคารพสิทธิของผู้สร้างสรรค์: Creative Commons ยอมรับและเคารพสิทธิที่ผู้สร้างสรรค์มีต่อผลงานของตนเอง โดยอนุญาตให้พวกเขาเลือกเงื่อนไขที่ต้องการให้ผู้อื่นใช้ผลงานเหล่านั้นได้
  2. การเสริมสร้างการแบ่งปันและความร่วมมือ: หนึ่งในเป้าหมายหลักของ Creative Commons คือการส่งเสริมการแบ่งปันและการทำงานร่วมกันในสังคมดิจิทัล การให้ผู้สร้างสรรค์สามารถแบ่งปันผลงานภายใต้เงื่อนไขที่เหมาะสมจะช่วยสร้างชุมชนที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม
  3. ความยืดหยุ่นในการอนุญาต: ผู้สร้างสรรค์สามารถเลือกประเภทของใบอนุญาตที่เหมาะสมกับความต้องการของตนเอง ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาควบคุมวิธีการใช้ผลงานของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  4. ความโปร่งใสและการเข้าใจง่าย: ใบอนุญาต Creative Commons ถูกออกแบบมาให้ง่ายต่อการเข้าใจและใช้ ทั้งผู้สร้างสรรค์และผู้ใช้ผลงานสามารถเข้าใจเงื่อนไขและข้อจำกัดได้อย่างชัดเจน

ประเภทของใบอนุญาต Creative Commons

Creative Commons มีใบอนุญาตหลายประเภทให้เลือกใช้ ดังนี้:

1. Attribution (BY)

อนุญาตให้ผู้อื่นแจกจ่าย ทำซ้ำ นำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ต้องระบุที่มาของผลงาน

CC Attribution-BY

2. NonCommercial (NC)

อนุญาตให้ใช้งานได้เฉพาะกรณีไม่แสวงหากำไร ไม่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์

CC NonCommercial-NC

3. NoDerivatives (ND)

อนุญาตให้ใช้งานได้ แต่ห้ามดัดแปลงหรือนำไปสร้างผลงานใหม่

CC NoDerivatives-ND

4. ShareAlike (SA)

อนุญาตให้นำผลงานไปดัดแปลงหรือสร้างผลงานใหม่ได้ แต่ผลงานใหม่ต้องใช้ใบอนุญาตประเภทเดียวกัน

CC ShareAlike-SA

นอกจากนี้ ยังสามารถเลือกใช้ใบอนุญาตแบบผสมผสานระหว่างข้อกำหนดต่างๆ เช่น Attribution-NonCommercial-ShareAlike เป็นต้น

ประโยชน์ของ Creative Commons สำหรับคนรุ่นใหม่

  1. การเข้าถึงทรัพยากรทางการเรียนรู้: Creative Commons เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาและทรัพยากรทางการเรียนรู้ที่มีคุณภาพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น วิดีโอการสอนออนไลน์ บทความวิชาการ หรือสื่อการเรียนรู้ในรูปแบบต่าง ๆ ที่เผยแพร่ภายใต้ใบอนุญาต CC สามารถนำมาใช้ในการศึกษาและพัฒนาทักษะทางดิจิทัลได้อย่างเต็มที่
  2. การเสริมสร้างความคิดสร้างสรรค์: การใช้ทรัพยากร Creative Commons ช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถนำเนื้อหาที่มีอยู่แล้วมาปรับปรุง ดัดแปลง หรือสร้างสรรค์ใหม่ตามความต้องการของตนเอง โดยไม่ต้องกังวลเรื่องลิขสิทธิ์ เช่น การนำภาพถ่ายที่อยู่ภายใต้ใบอนุญาต CC มาตัดต่อหรือออกแบบใหม่เพื่อใช้ในงานศิลปะหรือการตลาด
  3. การสร้างผลงานร่วมกัน: Creative Commons สนับสนุนแนวคิดของการสร้างผลงานร่วมกัน โดยผู้สร้างสรรค์งานสามารถแบ่งปันผลงานของตนกับผู้อื่นและอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปพัฒนาต่อได้ การทำงานร่วมกันแบบนี้ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้และไอเดียที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาผลงานใหม่ ๆ ที่มีคุณภาพสูงขึ้น
  4. การพัฒนาทักษะการใช้สิทธิ์ดิจิทัล: การใช้ Creative Commons ช่วยให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้สิทธิ์ในโลกดิจิทัล รู้จักการให้เครดิตผลงานที่ตนเองใช้หรือดัดแปลง และเข้าใจความสำคัญของการรักษาสิทธิ์ในผลงานของตนเองและผู้อื่น
creative graphic

วิธีการใช้ Creative Commons ในการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล

  1. ค้นหาและใช้ทรัพยากร Creative Commons: ปัจจุบันมีเว็บไซต์และแพลตฟอร์มหลายแห่งที่ให้บริการเนื้อหา Creative Commons เช่น Wikimedia Commons, Flickr, หรือ YouTube โดยผู้ใช้สามารถค้นหาทรัพยากรที่ต้องการใช้และนำไปปรับใช้ในการเรียนรู้หรือสร้างสรรค์ผลงานได้
  2. สร้างและเผยแพร่ผลงานของตนเอง: คนรุ่นใหม่สามารถสร้างสรรค์ผลงานดิจิทัลของตนเอง เช่น บทความ วิดีโอ หรือภาพกราฟิก และเผยแพร่ภายใต้ใบอนุญาต Creative Commons เพื่อแบ่งปันกับผู้อื่น การทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้ผู้อื่นสามารถใช้ผลงานของเราได้ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองจากความคิดเห็นและการใช้ผลงานของผู้อื่น
  3. การเข้าร่วมชุมชน Creative Commons: การเข้าร่วมชุมชน Creative Commons ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกจะช่วยให้คนรุ่นใหม่สามารถเชื่อมต่อกับผู้สร้างสรรค์งานอื่น ๆ ได้ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ รวมถึงร่วมมือกันในการสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ

ตัวอย่างที่สามารถนำไปใช้ยกตัวอย่างเกี่ยวกับ Creative Commons ให้กับเด็กๆในห้องเรียนได้

  1. ภาพการ์ตูนตัวละครดิสนีย์ เด็กๆคุ้นเคยกับตัวละครการ์ตูนเรื่องดังอย่างมิกกี้เมาส์, โดราเอมอน หรือว้ายร้าย คุณครูสามารถอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า ภาพการ์ตูนเหล่านี้เป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์ถูกต้อง ผู้คนทั่วไปไม่สามารถนำไปใช้งานได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
  2. เพลงฮิตยอดนิยม เพลงฮิตติดชาร์ตที่เด็กๆชื่นชอบฟัง เช่น เพลงของวงบีทเทียน, บรันนี่ย์ สามารถใช้เป็นตัวอย่างผลงานที่มีลิขสิทธิ์ เด็กๆไม่สามารถนำไปคัดลอกหรือทำซ้ำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์
  3. วิดีโอคลิปในยูทูบ วิดีโอคลิปที่คนดังอัปโหลดลงในยูทูบหรือเฟซบุ๊ก เช่น เคนเดล เจนเนอร์ ลิซ่า BLACKPINKหรือ ปอร์เช่ กันต์ พงษ์ชัย หากไม่ได้ระบุว่าให้ใช้งานได้โดยเสรีแล้ว ก็ถือเป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์ที่ผู้คนทั่วไปไม่สามารถนำมาใช้งานได้โดยไม่ได้รับอนุญาต
  4. หนังสือการ์ตูนที่ขายในร้านหนังสือ หนังสือการ์ตูนเรื่องดังๆ ที่เด็กๆรู้จักกัน เช่น เรื่อง Harry Potter, Naruto, One Piece ล้วนเป็นผลงานที่มีลิขสิทธิ์ทั้งสิ้น ไม่สามารถนำไปทำซ้ำขายเองได้
  5. รูปภาพตกแต่งบล็อก คุณครูอาจให้เด็กๆดูรูปภาพตกแต่งที่ใช้ในเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดีย อธิบายว่าหากไม่ได้ระบุอนุญาตให้ใช้งานได้โดยเสรี รูปภาพเหล่านี้ก็ถือเป็นผลงานมีลิขสิทธิ์ที่ไม่สามารถนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์

ตัวอย่างเหล่านี้จะช่วยให้เด็กๆเข้าใจแนวคิดเบื้องต้นของลิขสิทธิ์และความสำคัญของการขออนุญาตก่อนนำผลงานของผู้อื่นไปใช้ จากนั้นจึงค่อยเชื่อมโยงไปสู่การอธิบายแนวคิดของ Creative Commons ต่อไป

creator

ข้อดีของการใช้ Creative Commons

– ผู้สร้างสรรค์สามารถควบคุมการใช้งานผลงานของตนเองได้

– ส่งเสริมการแพร่กระจายและการใช้ประโยชน์จากผลงานอย่างถูกต้อง

– สนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลงานใหม่จากผลงานเดิม

– ช่วยลดความขัดแย้งและปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์

สรุป

Creative Commons เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้สร้างสรรค์สามารถบริหารจัดการลิขสิทธิ์ผลงานของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการออกใบอนุญาตกำหนดเงื่อนไขการใช้งานแบบเปิดกว้าง ส่งเสริมการแบ่งปันและการใช้ประโยชน์จากผลงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลงานใหม่ๆ อีกด้วย

โดยคีรเอทีฟคอมมอนส์ได้ผสมผสานเงื่อนไขเหล่านี้เป็นชุดใบอนุญาตต่างๆ อาทิ อนุญาตให้ใช้ได้ทุกประการโดยไม่มีการแก้ไข (CC BY) อนุญาตให้แก้ไขได้แต่ต้องแบ่งปันในลักษณะเดียวกัน (CC BY-SA) หรืออนุญาตให้ใช้ได้ทุกประการยกเว้นการนำไปใช้เชิงพาณิชย์ (CC BY-NC) เป็นต้น

ผู้สร้างสรรค์ผลงานจึงสามารถเลือกใช้ใบอนุญาตเหล่านี้เพื่อระบุว่าผลงานของตนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร และผู้ใช้งานก็สามารถทราบถึงสิทธิและข้อจำกัดในการนำผลงานนั้นๆ ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

การเผยแพร่ด้วยใบอนุญาต Creative Commons จึงเป็นวิธีการที่ช่วยส่งเสริมการไหลเวียนและการแบ่งปันข้อมูลความรู้ระหว่างกันได้อย่างเหมาะสม ผู้สร้างสรรค์ก็ยังคงได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ และผู้ใช้งานก็สามารถนำผลงานเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์


ติดตามเรื่องราวน่าสนใจเกี่ยวข้อง

อ้างอิงอ้างอิง

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save